งานประชุมวิชาการนานาชาติ The 3rd International Conference on Rice for The Future 2024: ICRF 2024

SHARE

งานประชุมวิชาการนานาชาติ The 3rd International Conference on Rice for The Future 2024: ICRF 2024

ศูนย์กลางความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัยข้าวของประเทศไทย (Hub of Rice) ร่วมกับ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และภาคีเครือข่ายด้านการวิจัยข้าวของประเทศไทย จัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ The 3rd International Conference on Rice for The Future 2024: ICRF 2024 เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการวิจัยข้าว ขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จะนำไปสู่การพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืนและสร้างการประกันความมั่นคงทางอาหารในอนาคต รวมถึงเป็นเวทีสร้างเครือข่ายนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิชาการข้าวทั้งในและต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 14 – 15 พฤศจิกายน 2567 ณ โรงแรม GRAND RICHMOND

ในงานประชุมวิชาการนานาชาติ ครั้งที่ 3 เรื่องข้าวเพื่ออนาคต (3rd International Conference on Rice for The Future 2024: ICRF 2024) มีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 300 คน จาก 14 ประเทศ จึงนับเป็นการรวมพลังเครือข่ายงานวิจัยข้าวจากทั่วโลกครั้งสำคัญ เริ่มจากเครือข่ายงานวิจัยข้าวในไทย รศ.ดร.ศิวเรศ อารีกิจ ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า “ICRF2024 เป็นงานที่นำเสนอข้อมูลงานวิจัยด้านข้าวในทุกมิติ โดยมีวิทยากรทั้งในและต่างประเทศให้การบรรยาย มากถึง 14 คน และยังมีการนำเสนอแบบปากเปล่า 45 เรื่อง และนำเสนอผลงานแบบโปสเตอร์ 84 เรื่อง แบ่งเป็น 7 หัวข้อหลัก ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแปรรูปใหม่และการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์ข้าวเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ การแพทย์และเภสัชกรรม ความเครียดทางชีวภาพ ความเครียดจากสิ่งแวดล้อม จีโนมิกส์ของข้าวเทคโนโลยีโอมิกส์เพื่อการปรับปรุงพันธุ์ข้าว และเทคโนโลยีเกษตรขั้นสูง”

ด้าน ศ.ดร.ดอกรัก มารอด รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและความเป็นสากล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า“การประชุม ICRF 2024 เป็นงานที่รวมบุคคลสำคัญจากทั่วโลกที่มารวมตัวกัน เพื่อแบ่งปันความรู้และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพืชผลที่สำคัญที่สุดนั่นคือ “ข้าว” ปัจจุบันการวิจัยข้าวมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับความท้าทายที่เราเผชิญ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขาดแคลนน้ำ และความต้องการผลผลิตที่สูงขึ้นโดยใช้ทรัพยากรน้อยลง โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้มีส่วนร่วมในการวิจัยและพัฒนาข้าวอย่างต่อเนื่อง ด้วยความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ มีการบุกเบิกพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ๆ ที่มีความสามารถในการปรับตัว มีคุณค่าทางโภชนาการ และยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งได้บูรณาการเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น จีโนมิกส์ เกษตรแม่นยำ และเทคโนโลยีชีวภาพ”

โดย ศ.กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานคณะทำงานที่ปรึกษาเพื่อการพัฒนาศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญ (Hub of Talents) และศูนย์กลางด้านความรู้ (Hub of Knowledge) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวในฐานะประธานเปิดการประชุม ว่า“การประชุมครั้งนี้เป็นโครงการริเริ่มสำคัญที่กำลังดำเนินการเพื่อจัดตั้งเครือข่ายนักวิจัยที่ทำงานในพื้นที่สำคัญต่างๆ รวมถึงการปรับปรุงผลผลิตข้าว เพิ่มความต้านทานโรค และจัดการกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความพยายามเหล่านี้สอดคล้องกับเป้าหมายระดับโลกของการพัฒนาที่ยั่งยืนและความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในอนาคต โดยงานนี้จะเป็นประโยชน์ต่อนักวิจัยข้าวและใช้การวิจัยและนวัตกรรมขับเคลื่อนประเทศไปเดินหน้าต่อไป”

ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง รักษาการรองผู้อำนวยการไบโอเทค ด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร สวทช. กล่าวถึงบทบาทของ ไบโอเทค สวทช. ว่า “ไบโอเทค สวทช. มีความมุ่งมั่นที่จะบุกเบิกความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพและเทคโนโลยีชีวภาพโดยเฉพาะเพื่อเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม การวิจัยข้าวนับเป็นจุดสนใจที่สำคัญในความพยายามทางการเกษตรของไบโอเทค โดยการวิจัยข้าวได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลจีโนมเพื่อตรวจสอบลักษณะที่สำคัญสำหรับข้าว และพัฒนาพันธุ์ข้าวที่ทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ ด้วยความร่วมมือกับศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ สถาบันวิจัย และกรมการข้าว ทำให้สามารถพัฒนาพันธุ์ข้าวที่พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันเป็นประโยชน์อย่างมากต่อเกษตรกรไทย”

อัปเดตเทรนด์การพัฒนางานวิจัยข้าวในต่างประเทศ พร้อมแนวทางการปรับใช้กับ อุตสาหกรรมข้าวไทย

ดังที่ได้เกริ่นไว้ว่า นอกจากเครือข่ายงานวิจัยไทยแล้ว การประชุม ICRF 2024 ยังมีเครือข่ายนักวิจัยข้าวจากทั่วโลกมาร่วมแชร์ข้อมูลงานวิจัยที่น่าสนใจ ซึ่งประเทศไทยสามารถนำไปต่อยอดพัฒนา อุตสาหกรรมข้าวไทย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในงานนี้ มีวิทยากรระดับนานาชาติที่สำคัญมีด้วยกันหลายท่าน อาทิ Reiner Wassmann จาก International Rice Research Institute (IRRI) ประเทศฟิลิปปินส์ บรรยายเรื่อง Greenhouse Gas Emissions from Rice Production: Significance, mitigation options and the emerging carbon markets (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตข้าว : ความสำคัญ การลดผลกระทบ และการเกิดขึ้นของตลาดคาร์บอน) ระบุว่า “การผลิตข้าวเป็นแหล่งสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Green House Gas: GHG) โดยเฉพาะก๊าซมีเทน ซึ่งโดยเฉลี่ยคิดเป็นประมาณ 1.5% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก ในบางประเทศอาจมีสัดส่วนที่สูงกว่านั้น ทำให้การปลูกข้าวถูกตั้งเป็นเป้าหมายสำหรับการลดก๊าซเรือนกระจก”

“แม้กระทั่งในระดับนโยบายอย่างความตกลงปารีส (Paris Agreement) โดยมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร โดยเฉพาะการลดใช้น้ำ ที่เปลี่ยนวิธีการจัดการน้ำในแปลงนาจากการท่วมขังต่อเนื่องแบบปกติให้มาเป็นระบบเปียกสลับแห้ง ส่งผลให้ลดปลดปล่อยก๊าซมีเทนได้ถึง 50% และเป็นวิธีที่ได้รับความสนใจอย่างมากในด้านการสร้างคาร์บอนเครดิต ปัจจุบันมีตัวแทนจากภาครัฐและเอกชนหลายรายเข้ามามีส่วนร่วมในการรับรองด้านคาร์บอนเครดิตในการผลิตข้าว แต่ด้วยลักษณะของระบบเกษตรกรรมที่ส่วนมากเป็นเกษตรกรรายย่อย ทำให้การดำเนินงานประสบกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งในเชิงปฏิบัติการ ด้านการเงิน และด้านกฎหมาย ทั้งนี้กระบวนการต่างๆ ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องซึ่งอาจนำไปสู่การนำวิธีการลดก๊าซเรือนกระจกมาใช้อย่างแพร่หลายยิ่งขึ้น”

ขณะที่ Nese Sreenivasulu จาก International Rice Research Institute (IRRI) ประเทศฟิลิปปินส์ บรรยายเรื่อง Low glycemic index and High protein rice to transform food and Nutritional security in Asia (ข้าวดัชนีน้ำตาลต่ำและโปรตีนสูง เพื่อการเปลี่ยนแปลงด้านความมั่นคงทางโภชนาการในเอเชีย) ระบุว่า“งานวิจัยชิ้นนี้มุ่งเน้นด้านการพัฒนาข้าวเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ซึ่งทีมวิจัยได้พัฒนาข้าวสายพันธุ์ HAHP101 จากการผสมระหว่างข้าว Samba Mahsuri และ IR36 amylose extender โดยมุ่งเป้าไปที่การผลิตข้าวที่มีดัชนีน้ำตาล (GI) ต่ำถึงต่ำมากและมีโปรตีน (PC) สูง โดยผลจากการวิเคราะห์ทางพันธุศาสตร์และเมแทบอลิซึมพบความสำคัญของยีน OsSBEIIb และยีนประกอบอื่นๆ บนโครโมโซมที่ 2 ที่เชื่อมโยงกับลักษณะ GI ต่ำและ PC สูง (14-16%) ซึ่งได้รับการยืนยันด้วยวิธีปรับแต่งพันธุกรรมที่บริเวณยีนดังกล่าว”

ด้าน Julie Gray จาก School of Biosciences, University of Sheffield, UK บรรยายเรื่อง Water-saving Rice (ข้าวใช้น้ำน้อย) ระบุว่า พืชต่างๆ สามารถสูญเสียน้ำผ่านทางปากใบ โดยพืชสามารถปรับขนาดของปากใบ รวมไปถึงระดับการพัฒนาได้ตามธรรมชาติเพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมได้

“จากข้อมูลดังกล่าวทางทีมวิจัยสามารถพัฒนาพันธุ์พืชที่มีความหนาแน่นของปากใบมากและน้อยกว่าปกติได้ โดยการปรับระดับของเป็ปไทด์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดระเบียบเซลล์ผิวใบ ทั้งนี้ พืชที่มีความหนาแน่นของปากใบต่ำจะมีอัตราการสูญเสียน้ำที่ต่ำลง ส่งผลให้ทนแล้งดียิ่งขึ้น เช่น ข้าวที่มีจำนวนปากใบเป็นครึ่งหนึ่งจากปกติจะใช้น้ำเพียง 60% ของปริมาณน้ำตามปกติ ทำให้สามารถอยู่รอดในช่วงภัยแล้งได้ดีและยังคงปริมาณผลผลิตไว้ได้ อีกทั้งพืชลักษณะดังกล่าวยังคงสภาพได้ดีในสภาวะดินเค็ม เนื่องจากเกิดการสะสมของเกลือน้อย ดังนั้นพืชที่มีลักษณะความหนาแน่นปากใบน้อยสามารถรักษาระดับผลผลิตในสภาพที่เครียดได้ ซึ่งอาจช่วยแก้ไขผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อความมั่นคงด้านอาหารได้”


SHARE

ข่าวและประกาศอื่น ๆ

วช. ชูบทบาท “Hub of Talents” ผนึกกำลังผู้เชี่ยวชาญเร่งสร้างองค์ความรู้ รับมือวิกฤต PM 2.5 ชี้ผลกระทบสุขภาพประชาชนเป็นเรื่องเร่งด่วน

Hub of Knowledge ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และ Hub of Talents ด้านชุดตรวจวินิจฉัย โดยการสนับสนุนของ วช. จัดประชุมเครือข่ายวิชาการระดับชาติ มุ่งสังคมไทยปลอดยาเสพติดด้วยวิจัยและนวัตกรรม

วช. สนับสนุน Hub of Talents ด้านเครื่องมือแพทย์ พัฒนาศักยภาพเครือข่ายนวัตกรรมการแพทย์ของไทย

วช. โดย ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านยางพารา ร่วมผลักดันและขยายผลเพื่อสร้างโอกาสแก่ยางพาราไทย