วช. และศูนย์กลางความรู้ด้านมุสลิมไทยร่วมส่งเสริมองค์ความรู้มุสลิมในสังคมไทยในมิติเศรษฐกิจ ความศรัทธา และการเมือง วันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับศูนย์กลางความรู้ด้านมุสลิมไทยจัดงานประชุมวิชาการมุสลิมศึกษาระดับชาติ ครั้งที่ 2 ในหัวข้อ “มุสลิมในสังคมไทย: การเงิน การค้า ความศรัทธา และอำนาจทางการเมือง” ณ โรงแรมอัล มีรอซ กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้รับเกียรติจากนายอรุณ บุญชม จุฬาราชมนตรี กล่าวเปิดงานและให้โอวาท โดยดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ มอบหมายให้นางสาวสุกัญญา อามีน ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม ร่วมกล่าวแสดงวิสัยทัศน์“ การส่งเสริมงานด้านมุสลิมไทยภายใต้ศูนย์กลางความรู้ (Hub of Knowledge on Muslim Thai)” และพร้อมทั้งแพทย์หญิง เพชรดาว โต๊ะมีนา ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ “แนวทางขับเคลื่อนงานด้านมุสลิมไทย” และมี รศ. ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวต้อนรับ

นายอรุณ บุญชม จุฬาราชมนตรี ในฐานะผู้นำทางศาสนา ได้กล่าวถึงการ “สืบสานความสำเร็จ” จากการประชุมครั้งแรก และเป็นเวทีที่สำคัญยิ่งในการสร้าง “องค์ความรู้เชิงลึก” ที่จะเข้าใจพลวัต ของชาวมุสลิมในยุคปัจจุบันได้อย่างครอบคลุม ท่านเน้นย้ำว่าอิสลามมิใช่เพียงแค่พิธีกรรมทางศาสนาแต่คือ “ระเบียบแห่งชีวิต” (Nizam al-Hayāh) ที่ชี้นำให้ผู้ศรัทธายึดมั่นในความดีงาม ความซื่อสัตย์ในการค้าขาย และความยุติธรรมในการปกครองท่านภาคภูมิใจที่ชาวมุสลิมไทยได้พิสูจน์แล้วว่า “เศรษฐกิจที่สอดคล้องกับหลักชารีอะห์” คือแนวทางแห่งความยั่งยืน และพลังขับเคลื่อนธุรกิจฮาลาลของไทยได้ก้าวขึ้นเป็น “ศูนย์กลางฮาลาลของอาเซียน” ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนความงดงามของการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนในสังคมพหุวัฒนธรรม

แพทย์หญิง เพชรดาว โต๊ะมีนา ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้กล่าวถึงพลังของงานวิจัยมุสลิมไทย ว่าเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดทิศทางของประเทศที่กำลังเดินหน้าสู่ความยั่งยืน งานประชุมนี้มิใช่เพียงการรวมตัวแต่คือการระดมความคิดเพื่อขับเคลื่อนสังคมพหุวัฒนธรรม ท่านชี้ให้เห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า แม้งบประมาณกว่าสี่ร้อยล้านจะถูกทุ่มเทในพื้นที่ชายแดนใต้แต่ผลกระทบเชิงประจักษ์ยังไม่ชัดเจน งานวิจัยจึงไม่ควรติดอยู่แค่เรื่องศาสนาแต่ต้องขยายขอบเขตไปสู่มิติทางเศรษฐกิจฮาลาล นวัตกรรมการศึกษา และการจัดการความขัดแย้ง โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับ “เสียงของผู้เห็นต่าง” เช่น “หลังบ้านนักรบ” เพื่อให้ได้องค์ความรู้ที่รอบด้านที่สุด โดยย้ำว่า ชุมชนมุสลิม คือแหล่งรวมทุนทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า ซึ่งต้องอาศัย “องค์ความรู้” จาก “งานวิจัยที่มีคุณภาพ” เป็นฐานในการกำหนดนโยบายให้เกิดการพัฒนาอย่างแท้จริง

รองศาสตราจารย์ ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวถึงพลังแห่งความร่วมมืออันงดงามระหว่างภาครัฐ ศาสนา และสถาบันการศึกษา ซึ่งเป็นรากฐานที่ทำให้สังคมไทยตั้งอยู่บนความเข้าใจและความสมานฉันท์ ซึ่งการประชุมครั้งนี้มีความหมายมากกว่าการนำเสนอผลงาน แต่คือ “เวทีแห่งการจุดประกายทางความคิด” และการสังเคราะห์องค์ความรู้ใหม่ เพื่อทำความเข้าใจบทบาทอันซับซ้อนของชาวมุสลิมไทยในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของหัวข้อหลักที่ว่าด้วย “การเงิน การค้า ความศรัทธา และอำนาจทางการเมือง” ซึ่งสะท้อนความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนที่หล่อหลอมวิถีชีวิตของมุสลิมในปัจจุบัน

นางสาวสุกัญญา อามีน ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของ วช. ถึงการให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการศึกษาวิจัยด้านมุสลิมศึกษาโดยถือเป็นรากฐานของการสร้าง “สังคมแห่งสันติภาพและความเข้าใจ” ภายใต้ความหลากหลายทางวัฒนธรรม วช. มุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ศูนย์กลางความรู้ด้านมุสลิมไทยก้าวขึ้นเป็น “ศูนย์กลางทางวิชาการด้านมุสลิมศึกษาในภูมิภาคอาเซียน” โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นของการวิจัยเชิงพื้นที่ ซึ่งเสนอให้ประสานความร่วมมือกับสถาบันในภาคใต้ เพื่อให้งานวิจัยสามารถสะท้อน “เสียงของพื้นที่” และนำไปสู่การพัฒนาเชิงประจักษ์ (Evidence-based Development) ที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง โดยย้ำว่า วช. พร้อมสร้างระบบนิเวศการวิจัยที่ทุกคนมีส่วนร่วมและนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้จริง







การจัดประชุมวิชาการมุสลิมศึกษาระดับชาติในครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเป็นพื้นที่ทางปัญญาเพื่อระดมความคิดเห็น สังเคราะห์องค์ความรู้ สร้างเครือข่ายนักวิชาการที่เข้มแข็ง และเกิดสัญลักษณ์ของปัญญาแห่งการอยู่ร่วมกัน เพื่อยืนยันว่าอัตลักษณ์ทางศาสนาสามารถอยู่ร่วมกับความเป็นพลเมืองไทยได้อย่างภาคภูมิ งานวิจัยที่เกิดขึ้นในวันนี้ จะเป็นดั่งเข็มทิศนำทางให้สังคมไทยก้าวเดินไปข้างหน้า สู่ทศวรรษแห่งความเข้าใจ สันติภาพ และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันอย่างแท้จริงและในงานมีผู้บริหารระดับหน่วยงาน บุคลากรหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผู้นำทางศาสนา คณาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย นิสิตนักศึกษาและผู้ให้ความสนใจด้านมุสลิมไทยเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก